ยานยนต์ไร้คนขับ (Connected Car)
แม้จะถูกมองเป็นเรื่องไกลตัวคนไทย
แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะได้รับรู้ว่ายานยนต์ที่ไร้คนขับนั้นจะแจ้งเกิดและถูกผลิตมากขึ้นในปีหน้า
ซึ่งไม่เพียงการพัฒนารถเพื่อผู้บริโภคทั่วไป
แต่เทรนด์ของรถอัตโนมัติกลับร้อนแรงในรูปบริการเช่ารถผ่านแอปพลิเคชัน
ยิ่งใกล้ปี 2020
ซึ่งเป็นปีที่มีการคาดหมายว่ารถอัจฉริยะไร้คนขับจะได้ฤกษ์ออกวิ่งบนท้องถนนก็ยิ่งมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมากมาย
เช่น Google ที่จับมือกับฟอร์ดมอเตอร์
(Ford Motor) และอูเบอร์ (Uber) ออกมาประกาศความร่วมมือในการผลักดันกระบวนการต่างๆ
สำหรับรองรับการออกสู่ตลาดของรถอัจฉริยะให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่คู่แข่งของ
Uber อย่างค่ายลิฟต์ (Lyft) ก็มีการจับมือกับวอลโว่
(Volvo) ทำโครงการถนนปลอดภัยด้วยรถอัจฉริยะไร้คนขับด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังลุ้นกับการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างสิงคโปร์ประกาศลงนามกับสตาร์ทอัปชื่อนูโตโนมี (nuTonomy) เริ่มทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับเมื่อเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
ขณะที่บริษัทเดลฟี (Delphi Automotive) บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสหรัฐอเมริกา
ก็ยื่นข้อเสนอขอส่งรถแท็กซี่อัตโนมัติที่สามารถรับส่งผู้โดยสารในย่านธุรกิจมาให้บริการในสิงคโปร์เช่นกัน
คาดว่ารถแท็กซี่อัตโนมัติไร้คนขับนี้จะสามารถลดค่าโดยสารจากเฉลี่ย 3
เหรียญต่อไมล์ลงเหลือเพียง 90 เซนต์ต่อไมล์เลยทีเดียว
แต่เหนืออื่นใด
การประชุมเวิลด์อิโคโนมิกฟอรัม (World
Economic Forum) ได้ระบุว่าต้องมี 3 กระบวนการนี้เสียก่อน
รถไร้คนขับจึงจะสามารถเปิดศักราชได้
ประเด็นแรก คือ ความรับผิดจากการใช้สินค้าที่มีการติดตั้งระบบอัจฉริยะลงไปต้องมีการระบุให้ชัดเจน สอง คือ ต้องมีการเซ็ตอัปเครือข่ายอินเทอร์เน็ตขึ้นเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้นเข้าถึงได้
สาม เป็นเรื่องของตัวบทกฎหมายที่จะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันในระดับโลก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น